ร้าน ดี2 วินเทจ  :  คือ ดำพระราม2 [โซน ภาคตะวันออก]
หน้าแรก
สินค้า
ประวัติการส่งสินค้า
แจ้งชำระเงิน
บทความ
เว็บบอร์ด
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา

ยินดีต้อนรับ
Username:
Password:

สามารถใช้รหัสเดียวกันกับเว็บไซต์ uamulet.com ในการใช้งาน
จดจำฉัน
สถิติ
จำนวนสินค้า 244 ชิ้น
มีผู้เข้าชม 936542 ครั้ง
จำนวนหน้าเข้าชม 1128196 หน้า
เปิดร้าน 29/02/2555
ปรับปรุงล่าสุด
GUCCI ( 3945 วันที่ผ่านมา )

 

GUCCIO GUCCI จากเด็กล้างจาน สู่มหาอำนาจ แฟชั่น ตำนานของโลก

.....GUCCIO GUCCI เกิดในปี 1881 ทางตอนเหนือของอิตาลี (ปัจจุบันถ้าเค้ายังมีชีวิตอยู่จะอายุ 131 ปี)

 

..เขาเป็นบุตรชายของพ่อค้าอิตาลี กิจการของ เขาเริ่มที่บ้านของเขาเองอันเป็นธุรกิจครอบครัว พ่อของเค้าเป็นเจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ ผลิตอานม้าที่ทำจากหนังแท้ ด้วยกรรมวิธีที่สืบทอดกันมา (ระหว่างปี  1906’s )  ครอบครัว GUCCI เป็นช่างหนังที่มีฝีมือที่ดีเยี่ยม ตามสไตล์คนอิตาลี ตามวิถีชีวิตที่ปราณีตเรียบง่าย สงบ ไม่รักความศิวิไล ทำกิจการที่มีความละเอียดอ่อน ปราณีต ดูจากบ้านเมืองก็จะทราบได้ว่าประเทศแห่งนี้ไม่ใหญ่ แต่ทรัพยากรมนุษย์ ถือว่าเยี่ยมยอด มีระเบียบวินัย และ รักสันโดษเป็นชาติพันธุ์ที่เยี่ยมยอดของโลก

.... ด้วยความรักและเห็นบ่อยๆ จึงเริ่มทำงานแฟชั่นดีไซด์ เช่นกระเป๋าเดินทางและอื่นๆ แต่การเริ่มก็เริ่มจากแฟชั่นกระเป๋าหนังที่อยู่บนหลังม้า ในปี 1920’s งานหนังของเขา เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงเป็นงานฝีมือชั้นเลิศจนได้รับการยอมรับกันทั่วๆไป  ไม่ช้าเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในการทำงานของเขาและเริ่มจ้างคนที่จะทำงานในองค์กรขนาดเล็กของเขา แต่แผนการขยายกำลังบัตรและ Gucci ขยายธุรกิจของเขาไปยังเมืองหลวง, โรมในปี 1938 ที่เขาเปิดร้านค้าปลีกครั้งแรกของเขา ธุรกิจที่ได้รับการจัดการ แต่เพียงผู้เดียวโดยเขาจะกลายเป็นเรื่องครอบครัวเป็นสิ่งที่ลูกชายของเขาร่วมงานกับ บริษัท กุชชี่ในปี 1951 ต่อไปขยายธุรกิจของเขาไปมิลานที่เขาเปิดร้านขายของและสองสามปีเขาต่อไปในแมนฮัตตัน

คำว่า " GUCCI" เป็นแบรนด์ที่เกิดจากชื้อครอบครัว คนเย็บอานม้า กำเหนิด ในช่วง ศตวรรศที่ 20 ปี 1921 โดย  "กุชชิโอ กุชชี" (Guccio Gucci) ก่อตั้งกิจการ Gucci  

...สมัยนั้นเค้าได้อพยพ ไปลอนดอน โดยเริ่มต้นทำงาน ตั้งแต่ เด็กล้างจาน , เด็กรับกระเป๋า , เด็กเปิดประตู ในโรงแรมซาวอย ที่กรุงลอนดอน  จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นประกายความฝันเนื่องจากการพบเห็นขุนนางและชนชั้นสูงใช้สิ่งของที่ทำมาจากหนังแท้ เกิดการหลงใหลความสวยงาม และรสนิยม ของกระเป๋าเดินทางที่พบเห็นอยู่ทุกวัน จนในที่สุดตัดสินใจกลับไปยังบ้านเกิด ที่ ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เปิดร้านค้าและผลิตเครื่องหนังของตนเอง  แต่ยังไม่ค่อยประสพความสำเร็จสักเท่าไหร่

....ในช่วงทศวรรษ 1950 เมื่อกิจการตกถึงมือรุ่น ลูกคือ "อัลโด กุชชี" (Aldo Gucci) สินค้าภายใต้ชื่อ Gucci  ก็มีจำหน่ายไปทั่วโลก อัลโดเป็นผู้ตัดสินใจเปิดร้านกุชชีแห่งที่สองในกรุงโรม

.....เมื่อกิจการตกทอดถึงรุ่นที่สาม "เปาโล กุชชี" (Paolo Gucci) ซึ่งเป็นบุตรชายของอัลโดก็มีแนวทางธุรกิจของตนเอง เขาต้องการขยายไลน์สินค้าราคาไม่แพงนักเพื่อจับลูกค้ากลุ่มหนุ่มสาว และมีแผนเปิดร้านใหม่อีกแห่งหนึ่ง แต่แผนดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างเต็มที่จนทำให้เกิดความตึงเครียดในครอบครัวกุชชี่ เปาโลพยายามดิ้นรนจนสามารถสร้างไลน์สินค้า PG ตามชื่อของเขาได้สำเร็จ แต่เมื่ออัลโดพ่อของเขารู้ข่าว ก็ถึงกับไล่เปาโลออกจากบริษัท และสั่งห้ามซัปพลายเออร์ของกลุ่มกุชชีทุกรายทำธุรกิจร่วมกับเปาโล ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกถึงขั้นย่ำแย่

ลูกพี่ลูกน้องของเปาโลคือ "มาอุริซิโอ" (Maurizio) ได้รับช่วงมรดกกิจการครึ่งหนึ่ง มาอุริซิโอรู้สึกอึดอัดใจกับเรื่องในครอบครัว จึงตัดสินใจที่จะยึดครองกิจการไว้เสียเองทั้งหมด โดยให้บริษัทอินเวสต์คอร์ป ดำเนินการซื้อหุ้นกิจการส่วนที่เหลือจากญาติพี่น้องของเขา เปาโลเป็นคนแรกที่ยอมขายหุ้นในมือ และในที่สุดมาอุริซิโอก็ได้ฟื้นฟูภาพพจน์กิจการที่ย่ำแย่ให้คืนมา โดยมีผู้ช่วยคนสำคัญคือ "โดเมนิโก เดอ โซเล" (Domenico De Sole) ทนายความของเขา เป็นผู้รับผิดชอบดูแลกิจการ Gucci America และ "ดอน เมลโล" (Dawn Mello) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bergdorf Goodman ถูกดึงตัวมารับผิดชอบตำแหน่ง creative director นอกจากนั้นยังได้ว่าจ้าง

ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) เป็น junior designer ด้วย ในช่วงปี 1990’s ถือเป็นยุคแห่งพลังอำนาจของแบรนด์ และผู้ชายที่ชื่อว่า ทอม ฟอร์ด คนนี้ยิ่งใหญ่เทียบชั้นกับชื่อ GUCCI ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามกิจการภายใต้การบริหารของมาอุริซิโอในช่วงแรกดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างดี ในช่วงที่ Gucci ประสบการขาดทุน มาอุริซิโอได้ทุ่มเงินถึง 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับปรุงสำนักงานใหญ่ที่ฟลอเรนซ์ และในระหว่างปี 1991-1993 กิจการมียอดขาดทุนรวมถึงราว 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนในที่สุดอินเวสต์คอร์ปได้กดดันให้มาอุริซิโอขายหุ้นแล้วดึงโซเลให้กลับมาบริหารงานที่ฟลอเรนซ์

 

ปี 1994 ภาวะทางการเงินของ Gucci ย่ำแย่อย่างหนัก โซเลต้องเดินสายเจรจากับซัปพลายเออร์ให้เชื่อว่าเขาสามารถผลักดันกิจการ ให้ฟื้นคืนกำไรได้ ตอนนั้นที่สำนักงานใหญ่มีแต่คนเขียนบันทึกกล่าวโทษกันและกันจนไม่เป็นอันทำงาน โซเลเล่าว่ารายงานของบริษัทที่ปรึกษาคูเปอร์ แอนด์ ไลแบรนด์ ที่เสนอแก่อินเวสต์คอร์ป ถึงกับระบุว่ากุชชี เป็นองค์กรที่ไร้ขีดความสามารถ ไร้จิตวิญญาณของการทำธุรกิจ แต่โซเลบอกว่าทุกวันนี้ไม่มีใครคิดแบบนั้นอีกแล้ว

 

......การเข้าซื้อกิจการของ PPR ปิโนลต์ผู้บริหารของกิจการ Pinault-Printemps-Redoute หรือ PPR เขาเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ Gucci จำนวน 42% เมื่อปี 1999 โดยซื้อหุ้นออกใหม่จำนวนดังกล่าวไว้เป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการช่วยให้ Gucci รอดพ้นจากการถูกเทกโอเวอร์ หลังจากนั้น เขาได้เข้าซื้อกิจการ Sanofi Beaute เจ้าของชื่อยี่ห้อ Yves Saint Laurant (YSL) แล้วขายให้กับ Gucci ในอีกสองวันถัดมา ส่งผลให้ Gucci กลายเป็นบริษัทที่มีชื่อยี่ห้อสินค้าหรูหลากหลาย

.....ศตวรรษที่ 21หลังจากกว่า 80 ปีที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในที่สุด Gucci ในศตวรรษใหม่ ภายใต้การนำของ PPR ผลประกอบการของ Gucci ดีขึ้นเรื่อยๆโดยมีเงินสดมหาศาลโดยแทบปราศจากหนี้สิน Gucci กลายเป็นแบรนด์ระดับหรูที่ผู้คนต่างหวังที่จะมีไว้ในครอบครอง สามารถยืนหยัดได้โดยไม่จะเป็นต้องโฆษณา อีกทั้งยังมีชื่อยี่ห้อชั้นนำอาทิ กิจการเครื่องเพชร Boucheron ที่ซื้อไว้ในเครือ นอกจากนั้น Gucci ยังเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการ Sergio Rossi, Bottega Veneta, กิจการนาฬิกา Bdat & Co. และสามารถดึงตัวอเล็กซานเดอร์ แม็คควีน (Alexander McQueen) อดีตดีไซเนอร์ฝีมือดีจาก Givenchy ผู้ออกแบบและตัดเย็บชุดแต่งงานของแคเธอริน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ มาร่วมงานอีกด้วย

 

 กุชชี่ในประเทศไทยกุชชี่ในประเทศไทยมีด้วยกันทั้งหมด 3 สาขาด้วยกัน คือ 

 

Gucci ดิวทรี ฟรี สนามบินสุวรรณภูมิ

Gucci ชั้น 1 เซ็นทรัลชิดลม

Gucci ชั้น 1 เอ็มโพเรี่ยม

 

ขอบคุณบทความของ "เรียน วัดเพลง"

คำค้น : GUCCI History