ขายอะไรผ่านอินเทอร์เน็ตดี?
เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยสำหรับผู้เริ่มต้น ปัจจุบันหนังสือที่แนะนำสินค้า และเทคนิคการขายของออนไลน์มีเยอะมาก พอๆ กับหนังสือแนะนำการลงทุนทองคำ (Gold Future)
ถ้าจะถามถึงประสบการณ์ส่วนตัวแล้วการขาย สินค้าออนไลน์นั้น ถือว่าเป็นการหารายได้ผ่าน Internet ที่ดีทีเดียว เพราะ เราจะทราบทั้งต้นทุน ค่าขนส่ง และราคา ที่สำคัญเราเป็นคนกำหนดราคาด้วยตัวเอง แน่นอน ถ้าเราขายได้ กำไรที่เรา ได้รับเราทราบตั้งแต่ก่อนจะขายได้แล้วด้วยซ้ำ
แต่ความยากมันอยู่ตรงที่ เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผู้ซื้อต้องการอะไร
ถ้าคุณเป็นผู้ผลิตสินค้าอันนี้ต้องไปศึกษาหาความรู้กับเว็บไซต์ที่เราจะเข้าไปขายว่า สินค้าของเราเป็นที่นิยมหรือไม่ กลุ่มลูกค้าของเราอยู่ใน เว็บไซต์นั้นหรือเปล่า ... และเว็บไซต์ที่เราเข้าไปนั้นเป็นที่รู้จัก เป็นที่นิยมหรือไม่ เพื่อง่ายต่อการประชาสัมพันธ์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้า หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณกำลังมองหา และอยากรู้ว่าขายอะไรดี หรือ กำลังคิดจะทำ e-Commerce แล้วละก็
ลองมาดูกันว่ามีสินค้ากลุ่มไหนบ้าง และสินค้าที่เรามองๆอยู่ มันอยู่ในกลุ่มเหล่านี้หรือไม่
1. สินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด
เนื่องจากการขายสินค้าผ่าน Internet นั้น ไม่ต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงานขายหน้าร้านและค่าเช่าที่ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ถ้าเรามีเว็บไซต์เป็นของเราเอง หรือไปสมัคร ตามเว็บไซต์ e-Commerce ก็ต้องมีค่าเช่าพื้นที่ ค่าธรรมเนีย ค่า commission และอื่นๆ แต่เมื่อเทียบ กันแล้ว การซื้อขายผ่าน Internet จะเสียค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่าอีกด้วย
ในมุมของสินค้าแล้วการที่เราหาสินค้าที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด เข้าถึงแหล่งผลิด อยู่ใกล้แหล่งผลิต หรือทราบแหล่งผลิตสินค้านั้นๆ และได้ของมาในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าคนอื่นแล้วละก็ การตั้งราคาแข่งกับราคาในตลาด ย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยขายกางเกงเล ใน eBay ด้วยความใจร้อนไฟกำลังแรง ไม่ได้ลองค้นหาหรือดูตลาดก่อนว่า เค้าขายกันราคาเท่าไหร่ เป็นที่นิยมหรือไม่ และมีคู่แข่งในตลาดมากน้องเพียงใด ก็ไปซื้อมาในราคาที่เราคิดว่าถูกแล้วนะ ลองเอามาขาย ปรากฏว่า ขายได้เหมือนกันแต่ขายสู้คู่แข่งไม่ได้เพราะ ของเหมือนกันแต่เค้าสามารถตั้งราคาได้ถูกกว่า
จำได้ว่าตอนนั้นแก้ไขด้วยการถ่ายภาพให้เกิดความน่าสนใจ ไปหาเนื้อหาและที่มาของสินค้ามาประกอบโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย เปลี่ยนเวลาการลงประกาศขายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา กว่าจะขายได้หมดก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน....
2. สินค้าเฉพาะกลุ่ม
สินค้าที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดยไม่ได้เน้นไปที่กลุ่มลูกค้ากลุ่มคนทั่วไป (Mass Market) เช่น สินค้าสำหรับคนอ้วน, สินค้าสำหรับคนท้อง, สินค้าสำหรับแม่, สินค้าสำหรับเจ้าสาว-คู่แต่งงาน, สินค้าสำหรับเกย์ หรือกระเทย เป็นต้น ก็น่าสนใจ
การที่เราจับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่ม จะทำให้เราสามารถเจาะและเข้าถึงลูกค้าเฉพาะได้ง่ายมาก หากลุ่มลูกค้าได้ง่าย ลูกค้าจดจำคุณได้ง่าย และนั้นหมายถึงโอกาสการขายก็มีมากกว่าการที่เราไปเปิดเว็บไซต์ขายของเหมือน คนทั่วไป
ตลาดกลุ่มนี้จะเป็นตลาดเฉพาะ กลุ่มอาจจะไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าคุณจับและเข้าถึงได้แล้ว ยอดขายน่าจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
3. สินค้า ไม่ ยอดนิยม
ลองหาสินค้าที่ ?ไม่ค่อยนิยม? ลองมาขายดู เพราะส่วนใหญ่เว็บไซต์ต่างๆ ชอบขายสินค้าที่ ?นิยม? ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันในสินค้าประเภทนี้มาก ทำให้โอกาสสินค้าของคุณจะเป็นที่รู้จัก เป็นได้ยาก
แต่หากคุณเน้นไปที่สินค้าไม่เด่น ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่า เช่น เปิดเว็บไซต์ขายเทปเพลงเก่า พระเครื่องรุ่นที่ไม่ค่อยมีคนนิยม
4. สินค้าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน
สินค้าบางอย่างผู้ซื้อไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เพราะอาจจะมีความอายหรือไม่ต้องการให้ผู้ขายรู้จักหรือเห็นหน้า
ดังนั้นการซื้อผ่านเว็บไซต์ หรืออินเทอร์เน็ตดูจะเป็นช่องทางที่หลายๆคนเลือกใช้ในการซื้อสินค้าลักษณะนี้ เช่น สินค้าเกี่ยวกับเรื่องเพศ, ถุงยางอนามัย, อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ, ชุดชั้นใน Sexy เป็นต้น
5. สินค้ามีสไตล์เฉพาะตัว (Unique)
หากสินค้าหรือบริการของคุณ มีความเฉพาะตัว แตกต่าง ไม่เหมือนใคร (Unique) ก็สามารถขายได้ดีเช่นกัน เพราะลูกค้าไม่สามารถหาซื้อที่อื่นๆได้นอกจากของคุณเท่านั้น เช่น เสื้อผ้า ลายผ้า ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว, สินค้า Handmade ประเภทต่างๆ แต่ต้องสร้าง ความมั่นใจให้กับลูกค้าว่า สินค้าของเราเป็นของดี มีคุณภาพ เพราะสินค้าลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะไม่รู้จักมาก่อน หรือไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน
ดังนั้นการสร้างความน่าเชื่อถือ การทำให้ลูกค้ามั่นใจ และการให้รายละเอียดสินค้าที่เพียงพอ ครบถ้วน เช่นการมีรูปภาพเยอะๆ การให้รายละเอียดหรือคำอธิบายสินค้าเยอะๆ หรือมี VDO อธิบายสินค้า ดูน่าจะเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ลูกค้ามั่นใจ และซื้อสินค้าลักษณะนี้ได้ไม่ยาก
6. สินค้าที่มีน้ำหนักเบา
การขายสินค้าที่มีน้ำหนักเบาจะมีความได้เปรียบในด้านการส่งสินค้าให้ลูกค้า เพราะจะส่งได้ง่ายกว่า ประหยัดกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่มีขนาดเล็กๆ แต่มีราคา เช่น มีหลายคนๆขายสแตมป์เป็นชุด บางชุดมีราคาหลายพันบาทเลย ส่งง่ายเพราะแค่สอดเข้าซองจดหมายก็ส่งได้แล้ว
ดังนั้นสินค้าบางอย่างที่มีน้ำหนักเบามีราคาสูง ก็อาจจะช่วยทำให้การค้าขายมีกำไรได้มาก แต่อาจจะต้องให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้าที่มีการลงทะเบียนที่จะช่วยสร้าง ความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้เช่นกัน
7. สินค้าที่มีเรื่องราว
สินค้าหรือของที่มีเรื่องราวมีประวัติประกอบ จะทำให้สินค้าชิ้นนั้นๆ มีความน่าสนใจมากขึ้น เช่น ผมอาจจะขายเครื่องปั้นดินเผา แต่ผมก็มีให้ข้อมูลและประวัติของเครื่องปั้นดินเผาแต่ละชุดที่ผมขายเป็นแบบจำลองมาจากเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย มีประวัติยาวนาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะแจ้งในเว็บไซต์ และแพ็กเกจที่ส่งไปให้ลูกค้า ซึ่งจะทำให้เครื่องปั้นดินเผาอันนี้มีมูลค่ามากกว่าเครื่องปั้นดินเผาธรรมดาๆ ที่ขายอยู่ทั่วไปนี้คือข้อดีของสินค้าที่มีเรื่องราวอยู่ด้วย
8. สินค้าที่หายาก
สินค้าที่หายากย่อมมีคนต้องการ แต่เนื่องจากเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆเป็นไปได้ง่าย ดังนั้นหากคุณขายสินค้าที่หายาก และทำให้คนสามารถหาเจอได้ง่ายๆในอินเทอร์เน็ต เช่น.คนค้นหา (search) เจอได้ง่าย โอกาสการขายก็เป็นไปได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างสินค้า เช่น พระเครื่องเก่าๆ, ของเก่า-ของสะสม ประเภทต่างๆ เป็นต้น
9. สินค้าที่สามารถทำด้วยตัวเอง (Do it yourself – DIY)
หลายๆ คนชอบซื้อสินค้าที่สามารถซื้อไปแล้ว ไปทำเองได้ เช่น ชุดถักโครเช่ต์, ชุดทำอาหารง่ายๆ, อุปกรณ์แต่งบ้าน ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งสินค้าที่เป็นลักษณะ ทำด้วยตัวเอง มักจะเป็นสินค้าที่ ฝรั่งชอบนิยมซื้อไปติดตั้งหรือทำด้วยตัวเอง
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่ช่วยทำให้คุณพอได้ไอเดีย ในการไปคิดต่อว่าคุณจะขายสินค้าอะไรดี ผ่านเว็บไซต์ไปยังคนทั่วโลก
แต่อย่าลืมสินค้าเป็นเพียงแค่ ?องค์ประกอบ? หนึ่งเท่านั้น การจะขายของบนอินเทอร์เน็ตให้ได้นั้น จะประกอบไปด้วยอีกหลายๆปัจจัยด้วยกัน เช่น ความน่าเชื่อถือ (Trust), การตลาด (Marketing), การรู้จักและรักษาลูกค้า (CRM) และอื่นๆ อีกมากมาย